เมนู

อาจารย์บางพวกกล่าวว่า คำว่า คีเวยยกะ และ ชังเฆยยกะ นั้น
เป็นชื่อแห่งผ้าที่ตั้งอยู่ในที่แห่งคอและในที่แห่งแข้ง.
พาหันตะ นั้น ได้แก่ ขัณฑ์อันหนึ่ง ๆ นอกอนุวิวัฏฏะ
คำว่า กุสิมฺปิ นาม เป็นอาทินี้ พระอาจารย์ทั้งหลายวิจารณ์แล้ว
ด้วยจีวรมี 5 ขัณฑ์ ด้วยประการฉะนี้แล.
อีกประการหนึ่ง คำว่า อนุวิวัฏฏะ นี้ เป็นชื่อแห่ง 2 ขัณฑ์ โดย
ข้างอันหนึ่ง แห่งวิวัฏฏะ เป็นชื่อแห่ง 3 ขัณฑ์บ้าง 4 ขัณฑ์บ้างโดยข้างอัน
หนึ่งแห่งวิวัฏฏะ.
คำว่า พาหันตะ นี้ เป็นชื่อแห่งชายทั้งสอง (แห่งจีวร) ที่ ภิกษุ
ห่มจีวรได้ขนาดพอดี ม้วนพาดไว้บนแขน มีด้านหน้าอยู่นอก.
จริงอยู่ นัยนี้แล ท่านกล่าวในมหาอรรถกถา.

ว่าด้วยไตรจีวร


สองบทว่า จีวเรหิ อุพฺภณฺฑิกเต มีความว่า ผู้อันจีวรทั้งหลาย
ทำให้เป็นผู้มีสิ่งของอันทนต้องยกขึ้นแล้ว คือ ทำให้เป็นเหมือนชนทั้งหลายผู้
ขนของ, อธิบายว่า ผู้อันจีวรทั้งหลายให้มาถึงความเป็นผู้มีสิ่งของอันตนต้อง
ขน.
จีวร 2-3 ผืน ที่ภิกษุซ้อนกันเข้าแล้ว พับโดยท่วงทีอย่างฟูกเรียกว่า
ฟูก ในบทว่า จีวรภิสึ นี้.
ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นทำในใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า จักเสด็จ
กลับจากทักขิณาคิรีชนบทเร็ว เมื่อจะไปในชนบทนั้น จึงได้เก็บจีวรที่ได้ใน
เรื่องหมอชีวกไว้แล้วจึงไป.

ก็บัดนี้พวกเธอสำคัญว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า จักเสด็จมาพร้อมด้วย
จีวร จึงถือเอา (จีวร) หลีกไป.
บทว่า อนฺตรฏฺฐกาสุ มีความว่า (ความหนาว) ได้ตั้งอยู่ในระหว่าง
เดือน 3 เดือน 4.
หลายบทว่า น ภควนฺตํ สีตํ อโหสิ มีความว่า ความหนาวไม่
ได้มีแล้ว แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า สีตาลุกา ได้แก่ กุลบุตรผู้มีความหนาวเป็นปกติ คือผู้
ลำบากด้วยความหนาว โดยปกติเทียว.
หลายบทว่า เอตทโหสิ เยปิ โข เต กุลปุตฺตา มีความว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ประทับนั่งในกลางแจ้ง จะไม่ทรงทราบเนื้อความนี้หา
มิได้ แต่ได้ทรงทำอย่างนั้น เพื่อให้มหาชนยินยอม.
สองบทว่า ทฺวิคุณํ สงฺฆาฏิ ได้แก่ สังฆาฏิ 2 ชั้น.
บทว่า เอกจฺจิยํ ได้แก่ ชั้นเดียว.
เพื่อตัดโอกาสแห่งถ้อยคำที่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยังพระอัตภาพ
ให้เป็นไป ด้วยจีวร 4 ผืน ด้วยพระองค์เอง, แต่ทรงอนุญาตไตรจีวรแก่เราทั้ง
หลาย ดังนี้ จึงทรงอนุญาตสังฆาฏิ 2 ชั้น, ทรงอนุญาตจีวรนอกนี้ชั้นเดียว,
จริงอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ จีวรของภิกษุเหล่านั้นจักเป็น 4 ผืน ด้วยประการฉะนั้นแล
สองบทว่า อคฺคฬํ อจฺฉุเปยฺยํ มีความว่า เราพึงดามท่อนผ้าเก่า
ในที่ซึ่งทะลุ.
บทว่า อหตกปฺปานํ ได้แก่ ชักแล้วครั้งเดียว.
บทว่า อุตุทฺตานํ ได้แก่ เก็บไว้โดยฤดู คือโดยกาลนาน, มีคำ
อธิบายว่า ผ้าเก่าที่มีสีตกแล้ว.
บทว่า ปาปณิเก ได้แก่ จีวรที่เก่า ที่ตกจากร้านตลาด.

สองบทว่า อุสฺสาโห กรณีโย ได้แก่ พึงทำการแสวงหา. แต่
เขตกำหนดไม่มี, จะแสวงหามาแม้ตั้งร้อยผืนก็ควร. จีวรนี้ทั้งหมด พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสสำหรับภิกษุผู้ยินดี.
วินิจฉัยในข้อว่า อคฺคฬํ ตุนฺนํ นี้ พึงทราบดังนี้:-
ท่อนผ้าที่ภิกษุยกขึ้นทาบให้ติดกัน ชื่อผ้าปะ, การเย็บเชื่อมด้วยด้าย
ชื่อการชุน.
ห่วงเป็นที่ร้อยกลัดไว้ ชื่อรังคุม. ลูกสำหรับกลัด เรียกลูกดุม.
ทัฬหีกัมมะ นั้น ได้แก่ ท่อนผ้าที่ประทับลง ไม่รื้อ (ผ้าเก่า)
ทำให้เป็นชั้นรอง.
เรื่องนางวิสาชา มีเนื้อความตื้น. เรื่องอื่นจากเรื่องนางวิสาขานั้น ได้
วินิจฉัยแล้วในหนหลังแล.
บทว่า โสวคฺคิกํ ได้แก่ ทำให้เป็นเหตุแห่งสวรรค์. ด้วยเหตุนั้น
แล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์.
ทานใด ย่อมกำจัดความโศกเสีย เหตุนั้น ทานนั้น ชื่อโสกนุท
บรรเทาความโศกเสีย.
บทว่า อนามยา คือ ผู้ไม่มีโรค.
สองบทว่า สคฺคมฺหิ กายมฺหิ ได้แก่ ผู้เกิดในสวรรค์

ว่าด้วยถือวิสาสะเป็นต้น


สามบทว่า ปุถุชฺชนา ถาเมสุ วีตราคา ได้แก่ ปุถุชนผู้ได้ฌาน.
บทว่า สนฺทิฏฺโฐ ได้แก่ เพื่อนที่สักว่าเคยเห็นกัน.
บทว่า สมฺภตฺโต ได้แก่ เพื่อนผู้ร่วมสมโภค คือเพื่อนสนิท.